วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555

La Tomatina เทศกาลปามะเขือเทศที่สเปน


 La Tomatina



       La Tomatina is a festival that is held in the Valencian town of Buñol, a town located 30 km inland from the Mediterranean Sea in which participants throw tomatoes and get involved in this tomato fight purely for fun. It is held on the last Wednesday of August, during the week of festivities of Buñol.

       At around 10 AM, festivities begin with the first event of the Tomatina. It is the "palo jabón", similar to the greasy pole. The goal is to climb a greased pole with a ham on top. As this happens, the crowd work into a frenzy of singing and dancing while being showered in water from hoses. Once someone is able to drop the ham off the pole, the start signal for the tomato fight is given by firing the water shot in the air and trucks make their entry. 

       The signal for the onset is at about 11 when a loud shot rings out, and the chaos begins. Several trucks throw tomatoes in abundance in the Plaza del Pueblo. The tomatoes come from Extremadura, where they are less expensive and are grown specifically for the holidays, being of inferior taste. For the participants the use of goggles and gloves are recommended. The tomatoes must be crushed before being thrown so as to reduce the risk of injury. The estimated number of tomatoes used are around 150,000 i.e. over 40 metric tons.  

       After exactly one hour, the fight ends with the firing of the second shot, announcing the end. The whole town square is colored red and rivers of tomato juice flow freely. Fire Trucks hose down the streets and participants use hoses that locals provide to remove the tomato paste from their bodies. Some participants go to the pool of “los peñones” to wash. After the cleaning, the village cobblestone streets are pristine due to the acidity of the tomato disinfecting and thoroughly cleaning the surfaces


                เทศกาลปามะเขือเทศ หรือ “ลา โตมาตินา”  งานเทศกาลปามะเขือเทศ จัดเป็นประจำทุกปี ทุกวันพุธสุดท้ายของเดือนสิงหาคม ณ หมู่บ้านบาเลนเซียน (Valencian) ของ Buñol ในจังหวัดบาเลนเซีย (Valencia) ประเทศสเปน
                 เทศกาลนี้ไม่มีอะไรมาก สิ่งที่คุณต้องทำคือการขว้างปา มะเขือเทศ เข้าใส่กันอย่างสนุกสนาน ต้นกำเนิดของเทศกาลนี้ย้อนไปเมือปี 1944 ระหว่างขบวนพาเหรด gigantes y cabzudos เกิดมีเหตุการณ์วัยรุ่นทะเลาะกันและเจ้ากรรมดันมีแผงขายมะเขือเทศอยู่ใกล้มือพวกวัยรุ่นพวกเขาจึงใช้มันเป็น อาวุธในการขว้างปาเข้าใส่กัน จนตำรวจต้องเข้ามายุติศึกมะเขือเทศ และทำการปรับค่าเสียหาที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์นี้
            ในปีต่อมาพวกวัยรุ่นก็ยังคงมาเปิดศึกกันอีกเช่นเคยเหมือนปีที่แล้วแต่สิ่งที่ต่างออกไปในปีนี้พวกเขาเตรียมมะเขือเทศกันมาจากบ้านและก็ต้องลำบากตำรวจอีกแล้วครับท่านที่ต้องเข้ามยุติเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทกันแต่มันก็คือประถมบทแห่งเทศกาลปามะเขือเทศอันลือลั่นที่ถูกจัดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องทุกปีเรื่อยมา
            โดยเทศกาล นี้จะเริ่มต้นเวลา 10 โมงเช้าของวันพุธสุดท้ายของเดือนสิงหาคม โดยจะเริ่มด้วยการปีนเสาทาน้ำมันที่ด้านบนมีแฮมแขวนอยู่ถ้ามีคนสามารถปีนไปโยนแฮมลงมได้ถือเป็นการเริ่มต้นสงครามมะเขือ(ระหว่างที่มีคนพยามปีนไปเอาแฮมชาวบ้านนักท่องเที่ยวด้านล่างจะร้องเพลงเต้นรำใต้สายน้ำจากท่อประปาอย่างสนุกสนานเพื่อเป็นการฆ่าเวลา)
          โดยเวลา 11 โมง รถบรรทุกมะเขือเทศจะแล่นออกมายัง พลาซ่า del Pueblo แล้วเริ่มขว้างปามะเขือเทศจากบนรถสู่นักท่องเที่ยวนักท่องเที่ยวก็ต่างเก็บมะเขือเทศขึ้นมาขว้างใส่กันอย่างเมามันไม่ถือโทษ โกรธเคื่องกัน
     โดยมะเขือเทศที่นำมาใช้ในเทศกาลนี้มาจาก Extremadura เนื่องจากมะเขือเทศจากที่นี้มีรสชาติไม่อร่อย ราคาถูก ก่อนนำมะเขือเทศมาใช้ในเทศกาลจะต้องนำมะเขือเทศมาคลึงให้น่วมก่อนนำมาเล่นใน เทศกาลเพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บรุนแรง







วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ฝรั่งเศสแปลงโฉมรถไฟฟ้า เป็นพระราชวังแวร์ซายส์




หรู! ฝรั่งเศสแปลงโฉมรถไฟฟ้า เป็นพระราชวังแวร์ซายส์



          เบื่อไหม...กับการนั่งรถไฟนาน ๆ จนรากงอก และพบกับบรรยากาศเดิม ๆ มองวิวทิวทัศน์เดิม ๆ เห็นทีเพื่อน ๆ จะต้องเปลี่ยนความคิดซะแล้ว แถมยังอยากนั่งรถไฟขบวนนี้กันนาน ๆ อย่างแน่นอน เพราะรถไฟคันนี้จะทำให้คุณรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในพระราชวังแวร์ซายส์สุดหรูยังไงยังงั้นเลยล่ะ

          สำหรับรถไฟขบวนนี้เป็นรถไฟฟ้าแอร์เออร์แอร์ (RER) สายซี ซึ่งทำหน้าที่รับส่งผู้โดยสารจากปารีสไปพระราชวังแวร์ซายส์ ได้เปลี่ยนรูปโฉมใหม่ให้คู่ควรกับการเดินทางมุ่งสู่พระราชวังแห่งประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศส โดยเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม เป็นต้นมา

          ทั้งนี้ แม้ว่าภายนอกของรถไฟฟ้าจะคงรูปลักษณ์เดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ การตกแต่งภายในรถไฟซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากพระราชวังแวร์ซายส์ และสวนในพระราชวัง เพื่อให้ผู้โดยสารได้สัมผัสบรรยากาศของพระราชวังอันหรูหรา อลังการ ผ่านการตกแต่งจำลองส่วนสำคัญต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ห้องกระจก ซึ่งประดับตกแต่งด้วยภาพวาดจำลองของ ชาร์ลส์ เลอ บรุน บนเพดาน, สวนในพระราชวัง, ห้องสมุดของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16, พิพิธภัณฑ์รถม้า, ตำหนักตริอานง, ห้องบรรทมของพระราชินีในตำหนักตริอานง ฯลฯ

          เอาล่ะค่ะ ลองไปชมกันเลยว่ารถไฟขบวนนี้จะตกแต่งอย่างสวยงามตระการตา จนน่าประทับใจขนาดไหน... 

หรู! ฝรั่งเศสแปลงโฉมรถไฟฟ้า เป็นพระราชวังแวร์ซายส์

หรู! ฝรั่งเศสแปลงโฉมรถไฟฟ้า เป็นพระราชวังแวร์ซายส์

หรู! ฝรั่งเศสแปลงโฉมรถไฟฟ้า เป็นพระราชวังแวร์ซายส์

หรู! ฝรั่งเศสแปลงโฉมรถไฟฟ้า เป็นพระราชวังแวร์ซายส์

หรู! ฝรั่งเศสแปลงโฉมรถไฟฟ้า เป็นพระราชวังแวร์ซายส์

ฝรั่งเศสแปลงโฉมรถไฟฟ้า เป็นพระราชวังแวร์ซายส์




หรู! ฝรั่งเศสแปลงโฉมรถไฟฟ้า เป็นพระราชวังแวร์ซายส์



          เบื่อไหม...กับการนั่งรถไฟนาน ๆ จนรากงอก และพบกับบรรยากาศเดิม ๆ มองวิวทิวทัศน์เดิม ๆ เห็นทีเพื่อน ๆ จะต้องเปลี่ยนความคิดซะแล้ว แถมยังอยากนั่งรถไฟขบวนนี้กันนาน ๆ อย่างแน่นอน เพราะรถไฟคันนี้จะทำให้คุณรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในพระราชวังแวร์ซายส์สุดหรูยังไงยังงั้นเลยล่ะ

          สำหรับรถไฟขบวนนี้เป็นรถไฟฟ้าแอร์เออร์แอร์ (RER) สายซี ซึ่งทำหน้าที่รับส่งผู้โดยสารจากปารีสไปพระราชวังแวร์ซายส์ ได้เปลี่ยนรูปโฉมใหม่ให้คู่ควรกับการเดินทางมุ่งสู่พระราชวังแห่งประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศส โดยเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม เป็นต้นมา

          ทั้งนี้ แม้ว่าภายนอกของรถไฟฟ้าจะคงรูปลักษณ์เดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ การตกแต่งภายในรถไฟซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากพระราชวังแวร์ซายส์ และสวนในพระราชวัง เพื่อให้ผู้โดยสารได้สัมผัสบรรยากาศของพระราชวังอันหรูหรา อลังการ ผ่านการตกแต่งจำลองส่วนสำคัญต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ห้องกระจก ซึ่งประดับตกแต่งด้วยภาพวาดจำลองของ ชาร์ลส์ เลอ บรุน บนเพดาน, สวนในพระราชวัง, ห้องสมุดของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16, พิพิธภัณฑ์รถม้า, ตำหนักตริอานง, ห้องบรรทมของพระราชินีในตำหนักตริอานง ฯลฯ

          เอาล่ะค่ะ ลองไปชมกันเลยว่ารถไฟขบวนนี้จะตกแต่งอย่างสวยงามตระการตา จนน่าประทับใจขนาดไหน... 

หรู! ฝรั่งเศสแปลงโฉมรถไฟฟ้า เป็นพระราชวังแวร์ซายส์

หรู! ฝรั่งเศสแปลงโฉมรถไฟฟ้า เป็นพระราชวังแวร์ซายส์

หรู! ฝรั่งเศสแปลงโฉมรถไฟฟ้า เป็นพระราชวังแวร์ซายส์

หรู! ฝรั่งเศสแปลงโฉมรถไฟฟ้า เป็นพระราชวังแวร์ซายส์

หรู! ฝรั่งเศสแปลงโฉมรถไฟฟ้า เป็นพระราชวังแวร์ซายส์

ฝรั่งเศสแปลงโฉมรถไฟฟ้า เป็นพระราชวังแวร์ซายส์




หรู! ฝรั่งเศสแปลงโฉมรถไฟฟ้า เป็นพระราชวังแวร์ซายส์



          เบื่อไหม...กับการนั่งรถไฟนาน ๆ จนรากงอก และพบกับบรรยากาศเดิม ๆ มองวิวทิวทัศน์เดิม ๆ เห็นทีเพื่อน ๆ จะต้องเปลี่ยนความคิดซะแล้ว แถมยังอยากนั่งรถไฟขบวนนี้กันนาน ๆ อย่างแน่นอน เพราะรถไฟคันนี้จะทำให้คุณรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในพระราชวังแวร์ซายส์สุดหรูยังไงยังงั้นเลยล่ะ

          สำหรับรถไฟขบวนนี้เป็นรถไฟฟ้าแอร์เออร์แอร์ (RER) สายซี ซึ่งทำหน้าที่รับส่งผู้โดยสารจากปารีสไปพระราชวังแวร์ซายส์ ได้เปลี่ยนรูปโฉมใหม่ให้คู่ควรกับการเดินทางมุ่งสู่พระราชวังแห่งประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศส โดยเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม เป็นต้นมา

          ทั้งนี้ แม้ว่าภายนอกของรถไฟฟ้าจะคงรูปลักษณ์เดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ การตกแต่งภายในรถไฟซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากพระราชวังแวร์ซายส์ และสวนในพระราชวัง เพื่อให้ผู้โดยสารได้สัมผัสบรรยากาศของพระราชวังอันหรูหรา อลังการ ผ่านการตกแต่งจำลองส่วนสำคัญต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ห้องกระจก ซึ่งประดับตกแต่งด้วยภาพวาดจำลองของ ชาร์ลส์ เลอ บรุน บนเพดาน, สวนในพระราชวัง, ห้องสมุดของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16, พิพิธภัณฑ์รถม้า, ตำหนักตริอานง, ห้องบรรทมของพระราชินีในตำหนักตริอานง ฯลฯ

          เอาล่ะค่ะ ลองไปชมกันเลยว่ารถไฟขบวนนี้จะตกแต่งอย่างสวยงามตระการตา จนน่าประทับใจขนาดไหน... 

หรู! ฝรั่งเศสแปลงโฉมรถไฟฟ้า เป็นพระราชวังแวร์ซายส์

หรู! ฝรั่งเศสแปลงโฉมรถไฟฟ้า เป็นพระราชวังแวร์ซายส์

หรู! ฝรั่งเศสแปลงโฉมรถไฟฟ้า เป็นพระราชวังแวร์ซายส์

หรู! ฝรั่งเศสแปลงโฉมรถไฟฟ้า เป็นพระราชวังแวร์ซายส์

หรู! ฝรั่งเศสแปลงโฉมรถไฟฟ้า เป็นพระราชวังแวร์ซายส์

วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555

Production écrite

 Je m'appelle Prakairath PRAYUNSORN
Moi,je déteste le lundi.
Pourquoi? Prarce que le lundi il y a Maths
Je n'aime pas le dimanche.Je préfère le samedi.




วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2555

ไวน์ฝรั่งเศส (France Wine)

ไวน์ฝรั่งเศส (France Wine)




ประเทศ ฝรั่งเศส นับว่าเป็นประเทศที่มีการผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียงและจำนวนมากที่สุด ทั้งนี้เพราะประเทศฝรั่งเศสมีพื้นที่ที่แบ่งออกเป็นอาณาเขตจำนวนมากที่มีการ ปลูกองุ่น ซึ่งแต่ละเขตก็จะมีการผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียงและคุณภาพแตกต่างกันออกไป พื้นที่ของประเทศฝรั่งเศสที่แบ่งออกเป็นอาณาเขต ๆ ที่มีการปลูกองุ่นและมีการผลิตไวน์ ได้แก่

- อาณาเขตบอร์โด (Bordeaux)

เป็น อาณาเขตที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส ที่มีพื้นที่กว้างมากใช้ปลูกองุ่นและมีการผลิตไวน์ ซึ่งไวน์ที่ผลิตจากอาณาเขตบอร์โดนี้มีชื่อเสียงมากกว่า 2,000 ปีแล้ว ไวน์ที่ผลิตในอาณาเขตนี้ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด คือ ไวน์ชนิดคลาเร็ท (Claret) หมายถึง ไวน์แดง (Red Wine) ที่ผลิตในเมืองบอร์โดเท่านั้น ส่วนไวน์แดงที่ผลิตในอาณาเขตบอร์โดที่ผลิตจากเมืองอื่น ๆ ไม่ใช่เมืองบอร์โด เราเรียกว่า ไวน์บอร์โด

เนื่อง จากอาณาเขตบอร์โดเป็นอาณาเขตที่มีพื้นที่กว้างมากจึงเป็นสาเหตุให้อาณาเขต บอร์โดถูกแบ่งออกเป็นเขตย่อย ๆ ลงไปอีก 5 เขตใหญ่ ๆ และกับอีก 3 เขตที่มีพื้นที่น้อยกว่า 5 เขตแรก คือ



เขตที่ 1 เขตเมด็อก (Médoc)

เป็น เขตที่อยู่ทางตอนเหนือของอาณาเขตบอร์โด ไวน์ที่ผลิตในเขตนี้ที่มีชื่อเสียงเป็นไวน์แดง ซึ่งในเขตนี้มีบริเวณที่ผลิตไวน์แดงที่ได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงมากมี อยู่ 4 บริเวณ คือ บริเวณโปอีลัก (Pauillac), บริเวณแซงยือเหลียง (ST.Juluien), บริเวณมาโก (Margaux) และบริเวณแซงเอสเทฟ (ST.Estephe) ไวน์แดงที่มีชื่อเสียงของเขตนี้ได้แก่


1. ชาโต ลาฟีท (Châteua Lafite)

2. ชาโต ลาตรู (Châteua Latour)

3. ชาโต มาโก (Châteua Margaux)

4. ชาโต มูตง (Châteua Mouton)

5. ชาโต พาลเมร์ (Châteua Palmer)



เขตที่ 2 เขตกราว (Graves)

เขต นี้เป็นเขตที่มีความสำคัญรองจากเขตที่หนึ่งเป็นเขตที่อยู่ทางตะวันตกตอนใต้ ของเขตเมด็อก สำหรับไวน์ที่มีการผลิตในเขตนี้นั้นมีทั้งไวน์แดง และไวน์ขาว แต่ไวน์ที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมมากที่ผลิตในเขตนั้นจะเป็นไวน์ขาว ซึ่งไวน์ขาวที่ผลิตในเขตนี้จะถูกเรียกว่า กราวไวน์ และคุณลักษณะของไวน์ที่ผลิตในเขตนั้จะมีคุณลักษณะที่ใกล้เคียงกับไวน์ที่ ผลิตในเขตเมด็อกมาก สำหรับบริเวณในเขตนี้ที่มีการผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียงมีอยู่ประมาณ 3 บริเวณ คือ บริเวณแปซัค (Pessac), บริเวณเลอ๊อกน็อง (L?ognan) และบริเวณมาร์ตีลัก (Martillac) ไวน์แดงและไวน์ขาวที่ผลิตในเขตนี้และมีคุณภาพชื่อเสียงดีได้แก่

1. ชาโต บุลโก (Châteua Bouscaut)

2. ชาโต โอ เบยี (Châteua Haut – Bailly)

3. ชาโต ลาตูร์ โอ บรีออง (Châteua Latour – Haut – Brion)

4. ชาโต ป๊อบ เคลม็อง (Châteua Pape Cl?ment)

5. ชาโต ลาตูร์ มาร์ตัลัก (Châteua Latour – Martillac)

เขตที่ 3 เขตโซแตร์น (Sauternes)

เป็นเขตที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเขต Graves และมีบริเวณที่มีการปลูกองุ่นและผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียงถึง 5 บริเวณด้วยกันคือ บริเวณโซแตร์น (Sauternes), บริเวณบอมม์ (Bommes), บริเวณฟักเกอร์ (Fargues), บริเวณบาร์ซัค (Barsac) และบริเวณเพลออิยัค (Preignac) ไวน์ ที่ผลิตในเขตนี้ที่มีชื่อเสียงมากเป็นไวน์ขาว และไวน์ขาวที่ผลิตในเขตนี้ถือว่าเป็นไวน์ขาวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดจนได้ รับสมญานามว่า คิง ออฟ ไวต์ ไวน์ (King of White Wine) ไวน์ ที่ผลิตในเขตนี้มีคุณลักษณะรสชาติหวานและเป็นไวน์ที่มีรสชาติหวานกว่าไวน์ ที่ผลิตจากเขตอื่น ๆ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว สำหรับไวน์ที่มีชื่อเสียงที่ผลิตในเขตนี้ ได้แก่

1. ชาโต ดีเคม (Châteua D’Yquem)

2. ชาโต ลาตูร์ บล็อง (Châteua La Tour Blanche)

3. ชาโต คูเต (Châteua Coutet)

4. ชาโต กุยโร (Châteua Guiraud)

5. ชาโต เรียแซก (Châteua Rieussec)

6. ชาโต ลาโมท (Châteua Lamothe)

7. ชาโต เนแร็ค (Châteua Nairac)

8. ชาโต ซูคุยโร (Châteua Suduiraut)

เขตที่ 4 – 5 เขตแซงเออร์มิริอง – เขตปอมรอล (ST.Emilion – Pomerol)

เขต สองเขตนี้อยู่ใกล้กันมาก และเป็นเขตที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเขตบอร์โด เขตทั้งสองนี้มีการผลิตไวน์แดงที่มีชื่อ และเป็นไวน์แดงที่มีลักษณะรสชาติแรงพอสมควร สำหรับไวน์ของทั้งสองเขตนี้ที่มีชื่อเสียง ได้แก่

ไวน์เขตแซงเออร์มิริอง

1. ชาโต โอซ็อง (Châteua Ausone)

2. ชาโต คาน็อง (Châteua Canon)

3. ชาโต เวอวาล บรอง (Châteua Cheval Blanc)

4. ชาโต คูเต (Châteua Coutet)

5. ชาโต เลอ คูวอง (Châteua Le Couvent)

ไวน์เขตปอมรอล

1. ชาโต เพทรูส (Châteua Pètrus)

2. ชาโต ลา เฟลอร์ (Châteua Lafleur)

3. ชาโต ลา ปวง (Châteua Lapointe)

4. ชาโต ลาตูร์ ปอมรอล (Châteua Latour – Pomerol)

5. ชาโต เปอติ วีลาซ (Châteua Petit – Village)

- อาณาเขตเบอร์กันดี (Burgundy)

เป็น อาณาเขตหนึ่งที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งมีการผลิตไวน์สำหรับเขตที่อยู่ในอาณาเขตนี้ที่มีการปลูกองุ่นและมีการ ผลิตไวน์นั้นมีอยู่ประมาณ 4 เขตด้วยกัน แต่เขตที่มีการผลิตไวน์ได้ดีที่สุดนั้นก็คือ เขตทรูเบอร์กันดี (True Burgundy) ซึ่งทุกวันนี้รู้จักกันในชื่อเขตโก๊ตดอร์ (Côte D’Or) และเขตนี้จะประกอบด้วยบริเวณสองบริเวณด้วยกันคือ บริเวณโก๊จ เดอ นุย (Côte De Nuits) และบริเวณโก๊ต เดอ โบน (Côte De Beaune)

สำหรับ ไวน์ที่ผลิตจากเขตโก๊ตดอร์ บริเวณโก๊ตดอร์ เอด นุย นั้นจะเป็นไวน์ที่มีลักษณะรสชาติเข้มข้น และมีกลิ่นขององุ่นมาก จะต้องเก็บไว้ให้นานก่อนที่จะนำมาดื่มได้ ส่วนไวน์ที่ผลิตจากบริเวณโก๊ต เดอ โบน นั้นจะมีลักษณะตรงกันข้ามคือ จะมีลักษณะรสชาติไม่เข้มข้นมาก และมีกลิ่นองุ่นหอม เป็นไวน์ที่ไม่ต้องเก้ฐไว้นานนักก่อนที่จะนำมาดื่ม ไวน์ที่ผลิตจากเขตโก๊ตดอร์นี้มักจะถูกเรียกชื่อตามชื่อของบริเวณที่ทำการ ผลิต ไวน์ที่ผลิตในเขตโก๊ตดอร์ที่มีชื่อได้แก่

1. โรมาเน กงตี (Romanèe – Conti)

2. โกล เอด วูชัว (Clos De Vougeot)

3. โกล เดอ แตร์ (Clos De Tart)

4. วอลเนย์ (Volnay)

5. เล มูซินิก (Les Musigny)

6. โกล เด ลอมแบร์ (Clos Des Lambray)

7. เล แซง ชอกเชอร์ (Les Saint Georges)

8. เลอ กอร์ตอง (Le Corton)

9. โกล ดู รัว (Clos Du Roi)

10. เล รูเชียง บาส (Les Rugiens – Bas)

ใน อาณาเขตเบอร์กันดี จอกจากจะมีเขตโก๊ตดอร์ที่มีการปลูกองุ่นและทำการผลิตไวน์ ยังมีอีกเขตหนึ่งที่มีการปลูกองุ่นและผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียงมากก็คือ เขตชาบลี (Chablis) เป็น เขตที่มีการผลิตไวน์และไวน์ที่ผลิตจากเขตนี้มักถูกเรียกชื่อตามบริเวณที่มี การไวน์ชนิดนี้ ไวน์ที่ผลิตจากเขตชาบลีนั้นจะมีคุณลักษณะเฉพาะตัวคือ มีรสชาติจืด นุ่ม และมีสีลักษณะสีทอง สำหรับไวน์ที่ผลิตขากเขตชาบลีที่มีชื่อเสียงมากได้แก่

1. เล โกล (Les Clos)

2. โวเดซีล์ (Vaudésir)

3. วาลมูร์ (Valmur)

4. บรองโช (Blanchots)

5. บูโกส (Bougros)

การจัดลำดับชั้นของไวน์ฝรั่งเศส


ไวน์ฝรั่งเศสทั้งแดง ขาว และโรเซ่ ไวน์ประเภทมีฟอง หรือ ประเภทหวานมาก,หวานน้อย,ไม่หวาน, ดราย 
มีระดับแอลกอฮอล์ต่างๆ ตั้งแต่ 8–14 ดีกรี และสูงกว่า ทุกชนิดจัดแบ่งตามมาตรฐาน คุณภาพโดยทางการฝรั่งเศสแบ่งออกเป็น 4 ระดับ คือ



1. Appellation d’ Origine Controlee – AOC (อัปเปอลาซิยง ดอริจิ้น กงโทลเล่)

ไวน์ ผลิตภายใต้การควบคุมคุณภาพมาตรฐานกรรมวิธีการผลิตอย่างเข้มงวดกวดขัน ละเอียดถี่ถ้วน รวมไปถึงการควบคุมสายพันธุ์องุ่น การปลูก ปริมาณการผลิต ทำเล และขนาดของไร่องุ่น ฯลฯ โดยกฎหมายและทางการฝรั่งเศส ตลอดจนองค์กรอื่นๆ เช่น Institute National des Appellation d’ Origine – NAO สถาบันแห่งชาติ ทำการควบคุมดูแลตรวจสอบขั้นตอนต่างๆ และคุณภาพไวน์อย่างจริงจังอย่างต่อเนื่อง เพราะฝรั่งเศส ถือว่าอุตสาหกรรมไวน์ และไวน์ฝรั่งเศสทุกขนานเป็นภูมิฐาน ความมีศักดิ์ศรี ความหยิ่งผยอง ทรนง ความภาคภูมิใจของชาติที่เป็นเครื่องเชิดหน้าชูตา อันสง่างาม เป็นตัวแทนของประเทศสมกับที่ได้รับการยกย่อง สรรเสริญได้รับความไว้วางใจ ได้รับความนิยมชมชอบจากชาวโลกผู้รักไวน์ทั้งหลายเสมอมา



2. Vin Delimite de Qualite Superieure – VDQS (แว็ง เดอลิมิตเต้ เดอ กาลิเต้ ซุปเปริเยอร์)

ไวน์ผลิตภายใต้การควบคุมกฎเกณฑ์กรรมวิธีการผลิตให้ได้มาตรฐานคุณภาพตามที่ทางการฝรั่งเศสกำหนดเข้มงวดกว่า Vin de Pays ระดับหนึ่ง



3. Vin de Pays (แว็ง เดอ เปอี)

ไวน์ระดับคุณภาพมาตรฐานถูกควบคุมโดยทางการฝรั่งเศส แต่ไม่เข้มงวดมากนัก มีการควบคุมแหล่งผลิต ทำเล และขนาดของไร่องุ่น Origin ตลอดจนมารตรฐานคุณภาพขั้นพื้นฐาน Basic Quality ของไวน์นั้นอย่างไม่เป็นทางการ ระบบการควบคุมที่ยืดหยุ่นนี้ เปิดโอกาสให้ชาวไร่องุ่น Growers สามารถทำการทดลองผลิตไวน์นานาชนิด รสชาติแปลกใหม่ด้วยการผสมองุ่นสายพันธุ์ต่างๆ ในอัตราส่วนไม่ซ้ำซ้อน ด้วยกรรมวิธีใหม่ๆ ออกสู่ตลาดได้อย่างอิสระ เพื่อคนรักไวน์จะได้มีโอกาสได้ลิ้มชิมรสไวน์ ที่น่าตื่นเต้นขนานแปลกๆ ใหม่ๆ อยู่เสมอ ไวน์ระดับนี้มีคุณภาพมาตรฐานสูงกว่า Vin de Table ชนิดตั้งโต๊ะ และไวน์คุณภาพดีบางตัวจากระดับนี้ อาจจะมีโอกาสได้ขึ้นชั้นมาอยู่ในระดับ AOC ได้ด้วย


4. Vin de Table (แว็ง เดอ ตาบเบลอ)

ไวน์ระดับคุณภาพต่ำใช้ดื่มแทนน้ำ ประเภทตั้งโต๊ะ ไม่มีการควบคุมมาตรฐานโดยทางการ แต่อย่างไรชาวไร่องุ่น Growers และเจ้าของโรงงานผลิตไวน์ Winery สามารถผลิตไวน์นี้ออกมาอย่างอิสระ







แหล่งอ้างอิง :

** http://www.tpa.or.th/writer/read_this_book_topic.php?passTo=87db919dee5c32048d0653ef362e7733&pageid=43&bookID=1038&read=true&count=true

** http://www.sema.go.th/files/Content/Social/k4/0007/046vin2.htm
http://www.thaigoodview.com/node/44404?page=0%2C1

วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Française,Capitale de la mode.

Rivaux français et italiens pour devenir le roi de la mode a toujours été. Pour la France est "Ville Lumière", un endroit où la mode et la conception des instituts. Le défilé de mode français de renommée vont se réunir pendant une semaine pour livrer un colis. "Prêt-à-porter" 
(prêt-à-porter), une collection qui fournit un des hommes élégants et les femmes.
Ainsi que l'Italie. Designer français mettra l'accent sur ​​l'utilisation de nouveaux matériaux. Et les styles que jamais auparavant. Qui sont ensuite assemblés et intégrés dans le format original. Et la création de nouvelles œuvres de ces vêtements de style français est si populaire dans le monde entier.

La France est la production de plusieurs noms de marque.Il est populaire partout dans le monde.Comme Christian Dior.

 
                  

Louis vuitton

Hermes
Chanel
Christian Louboutin Shoes




วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

My Weekend

In my last weekend I and family went to Masicamp resort in Saraburi.The air was cleaned because Masicamp resort Located in the valley.

We drove ATV. It very fun!
In Sunday morning we woke up early for swimming.
In Afternoon we went to Tongsomboon Club at PakChong
We wore Indian dresses.We paid 300 bath for it.
We on the skylift Wow!!.We saw everything around us!
 And then we ate lunch at Banmaichaynum and went home.



วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Moi!

 ็Bonjour~Je m'appelle Prakairath Prayunsorn.Je suis thailandaise.J' habite Nakornpathom.J' aime la mode
I love fashion so much because i watched Sex and City movie.I think it is The best fashion movie.
I want to travel around the world.I love travel too.